วันพุธ, ตุลาคม 31, 2550

นอนกลางคืน ตื่นและฝันกลางวัน

กลางคืนหากมีดวงจันทร์สักสองดวง กลางวันหากดวงอาทิตย์เหลือเพียงครึ่งเดียว ผู้คนในยุคปัจจุบันคงหลับและตื่นกันง่ายขึ้นบ้าง ถ้านอนและตื่นวันเว้นวันได้ กลางคืนและกลางวันคงมีความจำเป็นน้อยลง นอนและตื่นเดือนเว้นเดือนเข้าท่าเหมือนกัน คนจนจะได้ไม่หิวทุกเดือน คนโลภจะได้โลภสองเดือนต่อครั้ง คนโศกจะได้ไม่ต้องร้องไห้ติดๆ กัน

ความมืดมีกลางคืนหรือกลางคืนมีความมืดนะ เราแค่หลับตาลง-ก็มืดแล้ว แต่ที่ต้องมีกลางคืนคงเพราะความมืดช่วยชักจูงให้ผู้คนอยากนอนหลับพักผ่อนกันมากขึ้น ส่วนคนนอนไม่หลับ พวกเขาตาสว่างกับเรื่องมืดๆ ภายในใจ เรื่องที่ยังมาไม่ถึง เรื่องที่ถึงไปแล้ว...กว่าจะหมดเรื่องหมดราว ฟ้าก็กำลังแปรงฟันพอดี

กลางคืนมีคนไม่ยอมนอนด้วยเหตุผลต่างๆ นานา แสงไฟจากการประดิษฐ์ทำให้ใครๆ มีโอกาสเลือกมากขึ้น คนต่างจังหวัดเข้านอนเร็วกว่าคนในเมืองใหญ่ กรุงเทพฯเหมือนเมืองที่ไม่เคยหลับ แต่การตื่นอยู่ตลอดเวลาก็ทำให้กรุงเทพฯสุขภาพไม่ดี

ดึกดื่นที่ร้านข้าวต้มแห่งหนึ่ง มีทั้งคนกินข้าวและเหล้าเบียร์ ที่หน้าห้องน้ำชาย มีนกสีสวยยืนหลับอยู่ในกรงโดยไม่สนใจเสียงดังหรือแสงสว่าง มันคงคิดถึงอิสรภาพของตนเองบ้าง ทว่าก็ไม่คิดมากจนนอนไม่หลับ

คนเราน่าจะคิดให้มาก ๆ ในตอนกลางวัน เดินคิด นั่งคิดหรือนอนคิด ทว่าก็แปลกที่กลับไปคิดอะไรตั้งเยอะแยะในตอนกลางคืนแทน และสำหรับผู้ที่คิดไม่ตก พอหัวตกถึงหมอนการต่อสู้ข้างในก็เริ่มต้นขึ้น แพ้แน่นอนหากไม่มีปัญญาหรือสมาธิมากพอ

ฝันกลางวันมีกลิ่น อย่างน้อยก็กลิ่นของความหวัง ฝันกลางคืนของใครๆ มีกลิ่นหรือเปล่าก็ไม่รู้ แค่เป็นสีหรือขาวดำ-ยังจำไม่ค่อยได้เมื่อตื่นขึ้นมา แต่ก็มหัศจรรย์ทีเดียวเกี่ยวกับความฝัน ใครนำพล็อตมาให้ ทำไมเหาะได้ ทำไมเหนือจริง ทำไมจึงมีคนนั้นคนนี้ ฯลฯ คนเราคุ้นเคยกับการนอนมาตั้งแต่เป็นชิ้นส่วนเดียวกับแม่ หากการนอนยังลึกลับอยู่ดี 4-6-8 ชั่วโมง ตอนหลับนั้นเวลาหายไปไหนหมด ผิดกับเวลาตื่นซึ่งบางนาทีที่ตั้งใจคอยหรือไม่อยากให้มาถึงก็ยังรู้สึกว่านานเหลือเกิน

(บางตอนจากหนังสือ ชีวิตคือ 2+2=3 ญามิลา เขียน)

ไม่มีความคิดเห็น: