วันอังคาร, เมษายน 01, 2551

คำนำสำนักพิมพ์

Rock Stars,Where Are You ?

ศิลปินร็อคแอนด์โรลล์ระดับโลกอย่าง จอห์น เลนนอน, จิมมี่ เฮนดริกซ์,เอลวิส เพรสลี่ย์,เคิร์ท โคเบน,คาเรน คาร์เพนเตอร์,แฟรงค์ ซิเนตร้า,ไมล์ เดวิส และอีกมากมาย ถูกจุดธูปมารวมตัวกัน ณ ดินแดนชื่อร็อคโทเปีย เพื่อใช้ชีวิต (หลังความตาย) กันอีกครั้ง อย่างมีความสุข
ศิลปินบางคนยังนิสัยเหมือนตอนมีชีวิตอยู่เปี้ยบ ในขณะที่บางรายกลับกลายเป็นคนละคน เมื่อมาอาศัยอยู่ในร็อคโทเปีย
ศิลปินที่มีชีวิตอยู่ต่างยุคต่างสมัย ไปทำความรู้จักและเล่นดนตรีแจมกันที่นั่นเป็นครั้งแรก
ทั้งหมดทั้งปวงในร็อคโทเปียถูกสร้างขึ้นมาโดย 'พระเจ้า' ซึ่ง,ด้วยความเคารพ,น่าจะเรียกได้ว่าเป็นพระเจ้านอมินี เพราะ 'ตัวพ่อ' ของจริงที่อยู่เบื้องหลังดินแดนอันน่าทึ่งนี้ มีชื่อว่า 'วิรัตน์ โตอารีย์มิตร' ซึ่งเป็นผู้กำหนดความเป็นไปทุกอย่างของร็อคโทเปียผ่านปากของ 'พระเจ้า'อีกทีหนึ่ง
เขาบอกให้พระเจ้าออกแบบให้ร็อคโทเปียมีกลางวันเป็นขาว-ดำ และกลางคืนมีสารพัดสีเท่าที่ตาชาวร็อคโทเปี้ยนจะอยากเห็น และทะเลที่ร็อคโทเปียเป็นสีช็อคกิ้งพิ้งในตอนกลางคืน วิรัตน์เป็นเจ้าของความคิดของพระเจ้าที่เสนอว่า ให้ทุกคนเดินเท้าเปล่า เสนอว่าร็อคโทเปียไม่ต้อนรับนักข่าวทุกสำนัก,ผู้นำเผด็จการทุกรูปแบบ,ฆาตกรต่อเนื่องทุกสัญชาติ รวมถึงประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาทุกคน!
วิรัตน์สั่งพระเจ้าดลใจเจมส์ ดีน,ผู้ที่แม้ไม่ใช่ชาวร็อค,หลบหนีเข้ามามีบทบาทในร็อคโทเปียด้วยคน
วิรัตน์กำนดให้เอลวิสในร็อคโทเปียรูปร่างหน้าตาหล่อเหลาเหมือนตอนยุค 1950 แต่ในบางเวลาที่เอลวิสรู้สึกหดหู่และเศร้าสร้อย เขาจะเปลี่ยนเป็นเอลวิสยุคกลาง 1970 ที่อ้วนฉุ และน่าเกลียด
และวิรัตน์ยังเป็นคนพาฝาแฝดของเอลวิสที่ตายไปตั้งแต่เกิด ให้ได้มาพบกับพี่ชายของเขาที่นี่
นอกจากนั้น วิรัตน์ยังเนรมิตดินแดนเพื่อนบ้านที่แสนจะลี้ลับน่าค้นหาอย่าง เซ็กซ์โทเปีย,แฟชั่นวิลเลจ,จอห์นส'เวิร์ลด์,วอร์แลนด์,แจ๊ซโทเปีย ไปจนถึงทรินีตี้'ส สปา แอนด์ สปิริต ที่ซึ่งศิลปินร็อคมา 'ชำระล้างทางวิญญาณ'
เขาสร้างโลกใหม่ขึ้นมาทั้งใบ
แน่นอนว่านอกจากศิลปินร็อคที่เคยมีตัวตนอยู่จริงบนโลก วิรัตน์ยังสร้างตัวละครที่น่าสนใจขึ้นมาอีกมากมาย เพื่อรับบทบาทหลากหลายอันมีส่วนช่วยทำให้ร็อคโทเปียแห่งนี้มีมิติ ลึก กว้าง ซับซ้อน ซ่อนความลับเอาไว้มากมายให้เราได้ค้นหา
ทำใจเชื่อได้ยากจริงๆ ว่า วิรัตน์ ไม่เคยเขียนนิยายมาก่อนเลย !
เราหวังว่าผู้อ่านทุกท่านจะสนุกสนานและตื่นใจไปกับโลกอันน่าทึ่งใบนี้...โลกที่มีพระจันทร์ 7 ดวง...โลกที่คุณจะได้ยินเสียงเพลงอะไรก็ได้ที่คุณอยากฟังเพียงคุณหลับตาลง...โลกที่ศิลปินผู้ขมขื่นทุกข์เข็ญ และผิดพลาดกับชีวิต ยังมีโอกาสได้ทำความรู้จักกับความสุขที่พวกเขาไม่เคยได้พบ
และยังไม่สายเกินไป ที่คุณจะได้ทำความรู้จักศิลปินร็อคระดับตำนานของโลก เพราะแม้พวกเขาจะไม่มีตัวตนบนโลกใบนี้แล้ว
จิตวิญญาณแห่งร็อคของพวกเขา จะยังมีชีวิตชีวาอยู่ที่ร็อคโทเปีย

สำนักพิมพ์อะบุ๊ก

Rocktopia

Rocktopia
วิรัตน์ โตอารีย์มิตร เขียน

วงศ์ทนง ชัยณรงค์สิงห์ บรรณาธิการที่ปรึกษา
ภูมิชาย บุญสินสุข บรรณาธิการ
นิติพงษ์ ตันเจริญ ภาพปก/ ภาพประกอบ

สำนักพิมพ์ a book พิมพ์ครั้งแรก มีนาคม 2551
จำนวน 286 หน้า ราคา 185 บาท

สนใจสั่งซื้อ โทรศัพท์/ โทรสาร 0-2726-9996 ต่อ 27
e-mail : abook@daypoets.com, http://www.daypoets.com/



...ร็อคโทเปียไม่ใช่สวรรค์ ไม่ใช่นรก
แต่เป็นอาณาเขตที่เหล่าศิลปินมาใช้ชีวิตหลังความตายด้วยกัน...

...ที่นี่ไม่ร้อน ไม่หนาว ไม่มีสงคราม ไม่มียาเสพติด
ไม่มีโรคระบาด ไม่มีผู้สื่อข่าว...

...ทะเลในร็อคโทเปียเป็นขาว-ดำในเวลากลางวัน
และเป็นสีช็อคกิ้งพิ้งในตอนกลางคืน
กลางคืนของร็อคโทเปียไม่ดำมืด มันแค่สลัวๆ เท่านั้นเอง...

...เอลวิสในร็อคโทเปียมีรูปร่างหน้าตาเหมือนตอนยุค 1950
แต่บางเวลาที่เอลวิสรู้สึกหดหู่ และเศร้าสร้อย
เขาจะเปลี่ยนเป็นเอลวิสยุคกลาง 1970 ที่อ้วนฉุ และน่าเกลียด...

...1 ปีในร็อคโทเปียมี 13 เดือน
สิบสองเดือนแรกนั้นคล้ายๆ กับเดือนบนโลกมนุษย์
ส่วนเดือนที่สิบสามเรียกว่า ร็อคโทเบอร์
ตลอดทั้งเดือน พระจันทร์ทั้ง 7 จะเต็มดวงพร้อมกัน

...พระเจ้าเคยมีเซ็กซ์ไหม? เจมส์ ดีน ถาม...

--------------------------------------------------------

...การนำบุคคลในวงการร็อคมาร้อยให้เป็นเรื่อง ไม่ใช่เรื่องง่าย
แต่ Rocktopia ทำได้น่าอ่านและน่าทึ่ง...

วิรัตน์นำความรู้เรื่องราวดนตรีจากประสบการณ์นักฟัง
และนักวิจารณ์ดนตรีของตนมาใช้อย่างได้ผล
เติมใส่ด้วยจินตนาการที่ไร้ขอบเขตจำกัด
เป็นนิยายแบบที่ไม่เคยมีมาก่อนในเมืองไทย

...หากใช้ภาษาดนตรีอธิบาย ก็คงจะพูดได้ว่า
Rocktopia เป็นผลงาน Crossover ชิ้นแรก
ของ วิรัตน์ โตอารีย์มิตร

คำนิยม ทิวา สาระจูฑะ


------------------------------------------------

วันศุกร์, มกราคม 18, 2551

ALL OF US ALL OF US ALL OF US

เรียน ท่านผู้อ่านทุกท่านทราบ
ALL OF US คอลัมน์ใหม่เอี่ยม อ่อง
เปิดประเดิมด้วยเรื่องของ 'ฟอเรสต์'
โดย วิรัตน์ โตอารีย์มิตร
อ่านได้ที่นี่ ที่เดียว เท่านั้น

ALL OF US

JAMILA1963
คอลัมน์ : ALL OF US
เขียน : วิรัตน์ โตอารีย์มิตร
เรื่อง : ฟอเรสต์

ฟอเรสต์

เมื่อฟอเรสต์ วิเทเกอร์รับบทอีดี้ อามินในหนังเรื่อง The Last King Of Scotland เขาก็คืออามินในหนังเรื่องนี้ แต่วิเทเกอร์เป็นอามินเพียงชั่วคราว หลังจากนั้นก็กลับมาเป็นฟอเรสต์ วิเทเกอร์ตามเดิม สมมติเขาเปลี่ยนชื่อใหม่เป็นริเวอร์ วิเทเกอร์ นักแสดงผิวดำคนนี้ก็ยังคือฟอเรสต์ วิเทเกอร์สำหรับคนจำนวนมาก อย่างไรก็ตามระหว่างที่ดู The Last King Of Scotland ความรู้สึก 80 เปอร์เซ็นต์ของผมบอกว่าเขาเป็นอามิน รู้อยู่ว่าเขาคือวิเทเกอร์ แต่ขณะเดียวกันก็เชื่อไปแล้วว่าเขาเป็นอามิน
ถ้าวิเทเกอร์มาเดินในตลาดสดที่อุทัยธานี พ่อค้าแม่ค้าเกือบทั้งหมด (99.9999 เปอร์เซ็นต์) คงไม่รู้ว่าคือดาราออสการ์ ก็แค่ฝรั่งผิวดำตัวใหญ่ที่มาเที่ยวเมืองไทย รางวัลออสการ์อาจจะมีแรงสั่นสะเทือนมหาศาลในฮอลลีวู้ด แต่แรงสั่นสะเทือนนั้นส่งมาไม่ถึงคนแถวบ้านผม พอมาไม่ถึง วิเทเกอร์ก็คือคนธรรมดาหากเดินอยู่ในตลาดสด
เพื่อน 3-4 คนที่นี่ รุ่นน้อง 4-5 คนจากอำเภอพิมายเห็นความสำคัญของผมมากกว่าวิทเกอร์แน่นอน แต่ถ้าผมไปเดินในฮอลลีวู้ดก็จะกลายเป็นเศษธุลีที่ไม่มีใครมองเห็น ฮอลลีวู้ดไม่รู้ว่าผมเป็นใคร ทว่าเพื่อนและรุ่นน้องรู้ การรับรู้ทำนองนี้ไม่ใช่ความรู้และการตระหนักรู้ ก็แค่'รู้' เฉยๆ
ผมดู The King Of Scotland หลังจากวิเทเกอร์ได้รับออสการ์หลายเดือน หนังเรื่องนี้คือ ความเก่า สำหรับคนที่ดูแล้ว แต่มัน'ใหม่'สำหรับผมในระหว่างที่ดู ผมเคยดูฟุตบอลที่การแข่งขันเสร็จสิ้นลงเมื่อ 2-3 ชั่วโมงที่ผ่านมา ผลการแข่งขันก็ปรากฎชัดเจน เพียงแต่ผมเพิ่งได้ดูและยังไม่รู้ผลการแข่งขัน ฟุตบอลเกมดังกล่าวจึงใหม่สำหรับผม มันคงคล้ายๆ เวลาเราดูดาวบนท้องฟ้า แสงดาวที่เราเห็นนั้นอาจเป็นดาว ดวงที่แตกสลายเรียบร้อยแล้ว แต่แสงสว่างเพิ่งเดินทางมาถึงโลก
สมมติผมดู The Last King Of Scotland 100 ครั้ง ก็ไม่มีความหมายสำหรับฟอเรสต์ วิเทเกอร์ เพราะเขาไม่รู้ว่าผมดู หลายความหมายหลายความสำคัญบนโลกนี้ต้องอาศัยการรับรู้ วันหนึ่งรุ่นน้องชื่อมาโนชส่งข้อความมายังโทรศัพท์มือถือของผม เขาบอกว่า...ได้อ่าน 'ครึ่งจริง ครึ่งฝัน และพระจันทร์ของคนหนุ่ม' เหมือนได้ปันชีวิตในลิ้นชักของพี่ให้เห็น ขอบคุณครับ... ความจริงผมต้องขอบคุณเขามากกว่าที่อ่านงานของผม แต่ต่างฝ่ายต่างขอบคุณก็เป็นไปได้เช่นกัน หนังสือเล่มนี้ของผมพิมพ์ขายนานแล้ว ทว่ามาโนชเพิ่งอ่าน
ข้อความไม่กี่ประโยคของมาโนชมีความหมายต่ออาชีพที่ผมทำ ผิดกับข้อความข้างเคียง 'ดวงคุณวันนี้ จะดีหรือร้ายมีโชคหรือไม่? อ.ลักษณ์ฟันธง' ใครก็ตามที่ส่งข้อความนี้มาให้ หวังผลประโยชน์จากผมแน่ๆ และมันไม่มีความหมายใดๆ ต่อผมเลย
กว่าซีดี The Last King Of Scotland จะเดินทางมายังบ้าน ต้องผ่านขั้นตอนต่างๆ มากมาย ว่ากันตั้งแต่ดัดแปลงหนังสือของกิลส์ โฟเด้นให้กลายเป็นบทหนัง เลือกตัวแสดง ถ่ายทำ ตัดต่อ ฯลฯ เราไม่จำเป็นต้องรู้ขั้นตอนเหล่านั้นว่ายากหรือง่ายเพียงใด เรามีหน้าที่เพียงแค่ดู แต่ถ้าผมไม่ซื้อหนังเรื่องนี้จากร้านที่จังหวัดนครสวรรค์ก็จะไม่ได้เห็นการแสดงอันยอดเยี่ยมของวิเทเกอร์ ส่วนวิเทเกอร์ เขาไม่จำเป็นต้องรู้ว่ามีใครได้ดู The Last Kin Of Scotland บ้าง...หรือมันจำเป็นเหมือนกัน?
ชีวิตของวิเทเกอร์ต้องนำชีวิตคนอื่นเข้ามาอยู่ในตัวเสมอ เพราะเขาคือนักแสดงและการแสดงทำให้เขาได้เงิน แต่ผู้หญิงคนหนึ่งแถวบ้านผมสามารถเป็นนักแสดงโดยไม่ใช่ดารา พอเจ้าหนี้นอกระบบมาทวงเงิน เธอก็จะพูดจากับเขาอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัยและอย่างเป็นกันเอง ความเนียนในการทำให้เจ้าหนี้อารมณ์เย็นลงของผู้หญิงคนนี้อยู่ในขั้นมืออาชีพ
เราต่างมีสัญชาติญาณการแสดงติดตัวมาด้วย อีดี้ อามินคือผู้นำประเทศที่ใช้การแสดงเป็นเครื่องมือสำหรับครองอำนาจ ส่วนเจ้าหญิงไดอะน่านำการแสดงมาช่วยสร้างภาพพจน์ให้กับตนเอง...และผมก็กำลังแสดงเช่นกัน
แม้ฟอเรสต์ วิเทเกอร์จะเป็นนักแสดงที่เก่ง แต่เขาก็ไม่ได้มีรูปร่างหน้าตาสวยงามเหมือนกับทอม ครูซหรือ แบร็ด พิทท์ โอกาสที่ใครต่อใครจะมาหลงใหลได้ปลื้มวิเทเกอร์จึงมีไม่มาก ยกเว้นเทรนด์ความสวยความหล่อจะเปลี่ยนไป ซึ่งคงไม่ใช่เร็วๆ นี้
ถึงกระนั้นผมเข้าใจว่าจะมีการเปลี่ยนแน่ๆ คนหล่อในอนาคตอาจจะไม่ได้มีรูปร่างหน้าตาแบบแบร็ด พิทท์ ไม่มีอะไรในโลก บนโลกและรอบโลกที่ไม่เปลี่ยน
เคยมีการถามว่าผมอยากให้คนดังคนใดมาหาที่อุทัยธานีมากที่สุด ผมตอบ วิลลี่ เนลสัน,แจ็คสัน บราว์,ทิม เบอร์ตัน,ตามลำดับ และตอนนี้ (ค.ศ. 2008 ) อยากเพิ่มวิเทเกอร์อีกคน มันตลกดีเวลาคิดว่าคนเหล่านี้มาหาผมที่บ้าน พวกเขาจะมากันทำไม? ความน่าจะเป็นในการที่วิเทเกอร์จะมาหาผมไม่เพียงเท่ากับ 0 แต่เท่ากับ -108 เป็นอย่างน้อย
การที่ใครจะมาหาเรา หรือเราจะไปหาใครเกิดจากแรงดึงดูดระหว่างคนกับคน ผมไม่มีวันไปหาวิเทเกอร์ที่อเมริกาอย่างแน่นอน และเขาก็ไม่วันมาหาผม แต่กับรุ่นน้องพิมายนั้นโอกาสที่จะไปมาหาสู่กัน ประมาณ 50:50,60:40 หรือ 70:30 พวกเขามีความจำเป็นต่อการดำเนินชีวิตของผมมากกว่าวิเทเกอร์,เนลสัน หรือเบอร์ตัน
คนทั่วไปอาจอยากเห็นคนดัง อยากใกล้ชิดคนดัง อยากให้คนดังพูดคุยด้วย ฯลฯ แต่จริงๆ แล้วคนสำคัญสำหรับเราก็คือ คนที่เราหมุนรอบพวกเขาและพวกเขาหมุนรอบเรา...รอบแล้วรอบเล่า
สำหรับฟอเรสต์ วิเทเกอร์ ผมยังหมุนรอบเขาไม่ถึง 1/4 ของวงกลมเลย