วันศุกร์, ธันวาคม 14, 2550

สมดุลแห่งการโกหก

มีการโกหกเกิดขึ้นทุกวินาที ทุกนาที ทุกชั่วโมง ทุกวัน ทุกสัปดาห์ ทุกเดือน และทุกปี นักจิตวิทยาบอกว่ามันเป็นพฤติกรรมตามธรรมชาติของคนเรา ไม่มีใครไม่เคยโกหก เด็กอายุ 4,5 ขวบก็โกหกได้เก่งแล้ว ผู้ใหญ่ยิ่งโกหกกันไฟแลบ ทุกวันนี้ไม่มีใครรู้ว่าอัตราการโกหกที่เป็นอยู่ในมวลมนุษย์นั้นมากเกินไป น้อยเกินไป หรือกำลังพอดีกันแน่
การโกหกไม่ได้มีเฉพาะโทษ ประโยชน์ของการโกหกก็มี พูดให้คลุมเครือและเข้าใจยาก แต่ดูมีหลักเกณฑ์ก็คือ หากใครสักคนได้ประโยชน์จากการโกหก ก็มีโทษจากการโกหกรอเขาอยู่ ตรงกันข้าม ถ้าได้รับโทษจากการโกหกไปแล้วก็อาจจะมีประโยชน์รออยู่ ในเมื่อรู้ว่าการโกหกมีประโยชน์ ก็ควรนำการโกหกมาใช้อย่างสร้างสรรค์ เช่น โกหกเพื่อสันติภาพของโลก โกหกเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อม โกหกเพราะไม่อยากให้เกิดการแบ่งแยกชนชั้น อะไรประมาณนี้
แต่ละคนมีระดับของการโกหกแตกต่างกัน รสนิยมในการโกหกก็ไม่เหมือนกัน ส่วนเจตนาในการโกหกก็มีหลายเจตนา ถ้าโกหกทุกลมหายใจเข้าออก ทางการแพทย์ถือว่าป่วย แต่ไม่ได้บอกว่าโกหกแค่ไหนจึงจะเหมาะสม เครื่องมือและวิธีจับโกหกที่ได้ผล 100 เปอร์เซนต์ยังไม่มี ว่ากันว่า ต่อให้มนุษย์ไปตั้งอาณานิคมบนดาวอังคารสำเร็จ การจับโกหกก็ยังยากเหมือนเดิม นั่นแสดงว่าการโกหกลึกลับกว่าที่คนส่วนใหญ่คาดคิดเอาไว้
บิน ลาเดน อาจโกหกสัปดาห์ละ 2 ครั้ง โทนี่ แบลร์ โกหกเดือนละ 3 ครั้ง เดวิด เบคแฮม โกหกทุกๆ 3 วัน แต่ถ้าผู้คนบนโลกนี้สูญเสียการโกหกอย่างสิ้นเชิง ไม่มีใครโกหกใครอีกต่อไป ทุกคนพูดความจริงกันอย่างหมดเปลือก จะเกิดอะไรขึ้น? จะเกิดผลดีหรือผลเสียมากกว่ากัน?
วงการศาสนาคงไชโยโห่ร้องว่านี่คือ ยุคทองทางศีลธรรม วงการแสดงซบเซา เพราะการแสดงคือรูปแบบหนึ่งของการโกหก พอไม่มีใครโกหกก็แสดงไม่ได้ ขณะที่มนุษย์ชาติต้องปั่นป่วนแน่นอน เด็กๆ ไม่ปิดปังว่าเกลียดครู เพื่อนเปิดเผยกับเพื่อนว่ากำลังคิดหักหลังอยู่ สามีภรรยายอมรับว่าเหม็นขี้หน้ากันมาก ลูกน้องสารภาพว่ากำลังคิดไม่ซื่อกับเจ้านาย ฯลฯ
ผมว่าผลเสียของการไม่โกหกกันเลยน่าจะมีมากกว่าผลดี เพราะบ่อยครั้งที่ความจริงโหดร้ายกว่าความเท็จ ความลวงอาจทำให้แข็งแรงได้มากกว่าความจริง การโกหกก่อให้เกิดความรื่นรมย์มากกว่าไม่พูดโกหก ฯลฯ เป็นเจตนาของธรรมชาติอยู่แล้วที่ใส่การโกหกลงไปในมนุษย์ แต่เจตนาที่แท้จริงมีรายละเอียดเช่นไรบ้าง ผมไม่รู้หรอกครับ
การโกหกนั้นบางครั้งเป็นยาแก้ปวด แต่บางทีเป็นยาพิษ บางครั้งเป็นเครื่องป้องกันตัว แต่บางทีก็นำไปใช้เป็นอาวุธ ผมเคยอ่านพบว่าตามปกติผู้หญิงจะโกหกเก่งกว่าผู้ชาย และผู้หญิงสวยจะโกหกได้เนียนกว่าผู้หญิงไม่สวย ประเด็นที่ผู้หญิงประสบความสำเร็จในการโกหกมากกว่าผู้ชายนั้น พอเข้าใจไม่ยาก เพราะพวกเธอเป็นนักเล่าเรื่องที่ดีกว่าและใส่ใจกับรายละเอียดในการเล่ามากกว่า แต่ประเด็นผู้หญิงสวยกับผู้หญิงไม่สวยนี่ยังสงสัยอยู่ หรือเธอใช้ความสวยเป็นอุปกรณ์ช่วยในการโกหก
คนเราชอบโกหกว่ารักกัน แต่ไม่ค่อยโกหกว่าเกลียดกัน คงเพราะความรักเป็นมารยามากกว่าความเกลียด โกหกว่ามีความสุขทำได้ง่ายกว่าโกหกว่ามีความทุกข์ นี่ก็คงเพราะความสุขลวงตาได้ง่ายกว่าความทุกข์ ผมไม่เคยเห็นใครลงมือโกหกเพื่อให้ผู้อื่นเกลียด ส่วนโกหกเพื่อให้ผู้อื่นรักนั้นเห็นได้ทั่วไป คนรวยกับคนจน ใครโกหกเก่งกว่า และการโกหกมีส่วนในการช่วยสร้างความร่ำรวยให้ด้วย
มนุษยชาติต้องการสมดุลแห่งการโกหกครับ สมดุลที่ทำให้ผู้คนไม่เกลียดกัน ครอบครัวมีสุข สันติภาพงอกงาม การดูถูกเหยียดหยามถึงจุดสิ้นสุด ฯลฯ แต่ปัญหาคือ เราไม่รู้ว่าสมดุลแห่งการโกหกอยู่ตรงไหนกันแน่ จะต้องโกหกกี่เปอร์เซ็นต์ พูดความจริงกี่เปอร์เซ็นต์จึงจะเกิดสมดุล นอกจากนั้นผู้คนในปัจจุบันยังค่อนข้างสับสน อะไรที่ควรพูดความจริงกลับโกหก อะไรที่ควรโกหกกลับพูดจริง เรียลลิตี้ที่โกหกก็ไปทึกทักว่ามันเป็นเรื่องจริง
บรรพบุรุษของมนุษย์เริ่มต้นโกหกครั้งแรกตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ และการโกหกจะยุติลงเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ด้านหนึ่งมันคล้ายคำสาปจากธรรมชาติอยู่เหมือนกันที่ทำให้มนุษย์ต้องเป็นเช่นนี้ แต่อีกด้านมันก็เป็นพรจากธรรมชาติ การโกหกนำไปสู่เทพนิยาย นิทาน ตำนาน ข่าวลือ ฯลฯ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ช่วยหนุนให้อารยธรรมมนุษย์เคลื่อนที่ไปข้างหน้าได้ ถ้าพูดกันแต่ความจริง เราอาจจะไปได้ไม่ถึงไหน ผู้คนเคร่งเครียดปราศจากความรื่นรมย์ ขาดจินตนาการ และโลกอาจเต็มไปด้วยคนวิกลจริต
เพราะความจริงที่ทำให้เราชื่นใจ สบายใจ และเบาใจ มีน้อยกว่าความจริงที่ทำให้หนักใจ และลำบากใจ สถานะทางจิตของผู้คนบนโลกยังไม่พร้อมจะยอมรับทุกความจริง คนเรารับได้เฉพาะความจริงที่อยากรับเท่านั้น เมื่อไม่พร้อมจะรับทุกความจริง ก็ไม่พร้อมจะพูดทุกความจริง เราก็เลยต้องพูดความจริงบ้าง โกหกบ้างกันต่อไป
แต่น่าจะมีสัก 1 สัปดาห์นะครับ เป็น 7 วันที่ไม่มีใครบนโลกนี้พูดความจริงต่อกันเลย มันคงเป็น 7 วันที่อันตรายวุ่นวาย บ้าคลั่ง แปลกประหลาดเหลือเกิน

(สมดุลแห่งการโกหก ปลาอ้วน เขียน หนังสือ ความสงสัยที่อยู่ใกล้สิ่งสมมติ)

วันศุกร์, พฤศจิกายน 02, 2550

ความลับ

ผู้คนนั้นช่างมีนิสัยที่คล้ายๆ กันในเรื่องของความลับ เราต่างอยากรู้อยากเห็นความลับของคนอื่น แต่ไม่อยากเปิดเผยให้ใคร ๆ รู้ความลับของตนเอง แล้วมีใครสักคนบ้างไหมที่ไม่เคยมีความลับเลยสักเรื่องในหนึ่งชีวิตซึ่งเกิดมา ความรักเริ่มก่อตัวย่อมเป็นความลับแน่นอน เพราะนอนพลิกไปมาอยู่ในใจของแต่ละคน ก่อนที่จะยินยอมแย้มตัวออกมาในที่สุด บางครั้งความรักก็ยอมเป็นความลับอยู่จนเกือบชั่วชีวิต ความใคร่เกิดขึ้นลับๆ มากกว่าความรัก มันเกิดขึ้นได้เสมอไม่ว่ากลางวันหรือกลางคืน แล้วก็เดินทางอย่างรวดเร็ว เพื่อพร้อมจะเกิดใหม่ด้วยเช่นกัน เมื่อความใคร่เกิดขึ้น ความรู้สึกผิดก็มักตามมาในเบื้องปลาย คนเรากลัวความผิด แต่ก็ยังชอบความใคร่ มันน่าสนุกไม่ใช่หรือ เป็นสัญชาตญาณก็จริง ทว่าไม่เหมือนสัญชาตญาณในการเอาตัวรอด และยังแตกต่างจากสัญชาตญาณแห่งความหวาดกลัว ดูแลความรักให้ดีๆ และช่วยควบคุมความใคร่ให้อยู่เป็นที่เป็นทางด้วย ผู้คนต่างเหนื่อยหนักกับทั้งสองสิ่งมาเนิ่นนาน
โลกนี้และสิ่งที่อยู่นอกโลกมีความลับอีกมากมายที่ยังไม่ถูกเปิดเผย บางเรื่องจำเป็นต้องรู้ ทว่าหลายเรื่องไม่ต้องรู้ก็ได้ ปล่อยให้มันเป็นเช่นนั้นต่อไป ในเส้นลายมือของแต่ละคนมีความลับของอดีตและอนาคตวางอยู่ ซึ่งมองยาก ง่ายกว่าคือในดวงตาของแต่ละคน หากจ้องมองกันดีๆ ก็จะเห็นความลับหรือความในแฝงตัวอยู่ภายใน คุณไม่สงสัยหรือว่าทำไมต้องเป็นดวงตา ทำไมไม่เป็นจมูก ใบหู หรือหน้าท้อง
ใจเราส่งสาส์นไปยังแขน ตา และมือได้เมื่อตกอยู่ในอาการเช่นไร อวัยวะต่างๆ ก็จะแสดงออกถึงรายละเอียดของอาการออกมา ซึ่งต่างเป็นไปตามธรรมชาติ แม้ไม่ต้องการให้เป็นแต่ก็เป็น
หมาหอน นกร้อง ปลาโลมาพูด ช้างโกรธ และอะไรอีกมากมายเกี่ยวกับสัตว์ ล้วนเป็นความลับที่มนุษย์อยากรู้และอยากจะเข้าใจ เวลานี้เราเข้าใจได้บ้างแล้ว แต่ก็ยังไม่หมดเพราะเอาเข้าจริงๆ สิ่งที่คิดว่าเข้าใจทะลุ สุดท้ายอาจกลายเป็นไม่รู้อะไรเกี่ยวกับสิ่งนั้นเลย
ถกเถียงกันมานานว่าพีระมิดถูกสร้างขึ้นมาได้อย่างไรจึงได้มหัศจรรย์เช่นนั้น บ้างก็ว่าเพราะความคิดของคนโบราณเลอเลิศ บ้างก็บอกว่าเป็นฝีมือของมนุษย์ต่างดาว ใครถูกใครผิดก็ไม่รู้ เพราะต่างเกิดไม่ทัน ไม่มีหลักฐานยืนยันอย่างหนักแน่น แต่สำหรับสิ่งที่เกิดในวันนี้ ในอดีตเมื่อ 50-60 ปีก่อน หรือในอนาคตจะกลายเป็นความลับได้น้อยมาก เพราะเทคโนโลยีสามารถบันทึกความเป็นไปได้หมด ส่วนเรื่องที่เทคโนโลยีไม่สามารถบันทึกได้ก็คือความคิดลึกๆ ซึ่งเป็นความลับในใจของผู้คน เครื่องมือจับเท็จหรือจับความจริงชนิดใดก็จับได้ไม่ครบ
โรเบิร์ต จอห์นสัน นักดนตรีบลูส์ผู้เลอเลิศในด้านฝีมือขายวิญญาณให้ซาตานจริงหรือเปล่า วันนี้ก็ยังเป็นความลับ มีเรื่องเล่าว่าเขาเล่นดนตรีไม่เก่งเลยในตอนแรก พอหายไปจากสังคมสักพัก จอห์นสันก็เหมือนพ่อมดที่สามารถบันดาลเสียงกีต้าร์ให้เป็นได้ดั่งใจปรารถนา แต่เวลาตายจอห์นสันตายไม่คล้ายคนนัก เขาตายเหมือนสัตว์เลี้ยง
อะไรกันที่ทำให้คนหูหนวกอย่าง บีโธเฟ่น กลายเป็นคีตกวีเอกของโลกได้ เสียงที่เขาได้ยินอยู่ข้างในย่อมเป็นความลับที่ตัวเขาเองรู้แต่เพียงผู้เดียวแน่นอน ริชี่ แบล็คมอร์อดีตมือกีต้าร์ของดีพ เพอร์เพิ่ลเคยไปบันทึกเสียงอัลบั้มของเขาในนาม "เรนโบว์" หลังจากที่แยกตัวมาจากดีพฯ วันหนึ่งในขณะที่บันทึกเสียงอยู่ในปราสาทแห่งหนึง ก็มีเสียงประหลาดเกิดขึ้น อยู่ๆ เปียโนก็มีเสียงกดลิ่มขึ้นมาเอง เสียงนี้มาจากไหน นี่เป็นความลับใช่ไหม
จักรวาลมีอายุนานแสนนาน จากการคาดคะเนของผู้คน ความลับที่ยิ่งใหญ่มากก็คือจักรวาลเกิดขึ้นมาได้อย่างไร เริ่มต้นตอนแรกก่อนมีจักรวาลหรือเอกภพมีอะไรมาก่อน ผมเคยงงๆ ว่าโลกของเราลอยอยู่บนอะไร สิ่งที่ลอยอยู่นั้น กว้างและยาวแค่ไหน ตรงปลายหรือขอบล่ะ มีดินแดนให้ประจักษ์หรือเปล่า วันนี้ผมเลิกงงและสงสัยแล้ว เพราะแม้จะเป็นความลับที่ยิ่งใหญ่ แต่เราไม่จำเป็นต้องรู้ก็ได้ รู้แค่อยู่อย่างไรให้ปลอดภัยจากกิเลสหรือตัณหา น่าจะดีที่สุดในการเป็นคน
คนมีกลิ่น ดอกไม้มีกลิ่น และสัตว์ก็มีกลิ่น ช่างมหัศจรรย์เหลือเกินที่เราสามารถดมกลิ่นได้ นี่นะกลิ่นหอม นั่นน่ะกลิ่นเหม็น ธรรมชาติสร้างจมูกใหคนสำหรับหายใจและได้กลิ่นด้วย ตาเราอาจจะฝ้าฟางหรือบอด แต่จมูกเดือดร้อนน้อยกว่าตา แม้ว่าเป็นหวัดแล้วจมูกจะไม่ค่อยดีก็ตาม มีคนแก่ๆ เคยบอกผมว่าจมูกนี่ฉลาดน้อยกว่าปาก เราเลือกดมไม่ค่อยได้ แต่เราเลือกกินได้มากกว่า ปากเรื่องมาก เลือกนั่นเลือกนี่ ทว่าจมูกไม่ค่อยเลือก
โจรหรือขโมยจะปล้นในเวลากลางคืน คงเพราะกลางคืนปิดปังความลับได้มากกว่ากลางวัน ความมืดทำให้ผู้คนกล้าทำความผิดมากกว่าความสว่าง เพราะจะมีคนอื่นเห็นได้น้อยและไม่ค่อยชัดเจน เห็นไหม เมื่อพูดถึงความหวังและเรื่องดีๆ ของชีวิต จึงมักถูกนำไปเทียบเคียงกับแสงสว่างเสมอ
กระดูกมาจากไหน เส้นผมอีก แรกเริ่มมันก็แค่ความรักความใคร่ของชายหญิง แล้วจึงเกิดมาเป็นตัวเรา ท้องของแม่ที่เคยใส่แต่ลำไส้ กระเพาะและอาหาร วันหนึ่งก็มีตัวน้อย ๆ ของเราแทรกลงไป ใครไม่รู้สึกมหัศจรรย์ก็ได้ แต่ผมตื่นเต้นกับการถือกำเนิดของคน มากยิ่งกว่าการคิดค้นคอมพิวเตอร์ชนิดใหม่ หรือการเดินทางของภาพและเสียงที่ขยายไปทั่วโลกอย่างกว้างขวาง
อะไรกันเล่าที่บอกให้ปลิงและยุงดูดเลือด สีเขียวมาอยู่ในพืชและผักได้อย่างไร มนุษย์ทำไมจึงต้องมีห้านิ้วทั้งมือและเท้า มีจมูกและตาอย่างละสอง มีปากหนึ่ง นี่แหละที่ช่างพอเหมาะพอเจาะ นี่แหละที่วิเศษกว่าไสยศาสตร์ ซึ่งคนจำนวนมากคลั่งไคล้
กิ้งกือเอาขามาจากไหนจึงมากมายขนาดนั้น ไม่แบ่งให้งูบ้างเล่า ปลาบางชนิดพยายามมีตีน อีกบางชนิดก็บินได้ ในขณะที่นกบางแบบดำน้ำเล็กๆ น้อยๆ ได้ด้วย คุณว่าไม่วิเศษหรือ ดาวบางแบบมีหาง ปลาจึงมีหางยาวสวยเหมือนนกได้ เราจึงเรียกว่าปลาหางนกยูง ทุกอย่างในธรรมชาติช่างหมื่นแสนกลและน่าทึ่ง
อินเทอร์เน็ตอาจเปิดเผยความลับต่างๆ ได้มากมาย ซึ่งไม่รู้ว่าประโยชน์หรือโทษมากน้อยกว่ากัน แต่ความลับของธรรมชาติ แม้จะเปิดเผยไม่ได้ แต่ก็มีประโยชน์มากกว่าโทษ ผมรู้จักอินเทอร์เน็ตน้อยเหลือเกิน แต่ก็ขอบคุณที่ยังมีไดโนเสาร์อีกหลายประเภทอยู่ในตัวของผม

"ความลับ" หนังสือ วัน-เดือน-ปี ญามิลา เขียน สำนักพิมพ์บีเยศ ปี 2544

วันพุธ, ตุลาคม 31, 2550

นอนกลางคืน ตื่นและฝันกลางวัน

กลางคืนหากมีดวงจันทร์สักสองดวง กลางวันหากดวงอาทิตย์เหลือเพียงครึ่งเดียว ผู้คนในยุคปัจจุบันคงหลับและตื่นกันง่ายขึ้นบ้าง ถ้านอนและตื่นวันเว้นวันได้ กลางคืนและกลางวันคงมีความจำเป็นน้อยลง นอนและตื่นเดือนเว้นเดือนเข้าท่าเหมือนกัน คนจนจะได้ไม่หิวทุกเดือน คนโลภจะได้โลภสองเดือนต่อครั้ง คนโศกจะได้ไม่ต้องร้องไห้ติดๆ กัน

ความมืดมีกลางคืนหรือกลางคืนมีความมืดนะ เราแค่หลับตาลง-ก็มืดแล้ว แต่ที่ต้องมีกลางคืนคงเพราะความมืดช่วยชักจูงให้ผู้คนอยากนอนหลับพักผ่อนกันมากขึ้น ส่วนคนนอนไม่หลับ พวกเขาตาสว่างกับเรื่องมืดๆ ภายในใจ เรื่องที่ยังมาไม่ถึง เรื่องที่ถึงไปแล้ว...กว่าจะหมดเรื่องหมดราว ฟ้าก็กำลังแปรงฟันพอดี

กลางคืนมีคนไม่ยอมนอนด้วยเหตุผลต่างๆ นานา แสงไฟจากการประดิษฐ์ทำให้ใครๆ มีโอกาสเลือกมากขึ้น คนต่างจังหวัดเข้านอนเร็วกว่าคนในเมืองใหญ่ กรุงเทพฯเหมือนเมืองที่ไม่เคยหลับ แต่การตื่นอยู่ตลอดเวลาก็ทำให้กรุงเทพฯสุขภาพไม่ดี

ดึกดื่นที่ร้านข้าวต้มแห่งหนึ่ง มีทั้งคนกินข้าวและเหล้าเบียร์ ที่หน้าห้องน้ำชาย มีนกสีสวยยืนหลับอยู่ในกรงโดยไม่สนใจเสียงดังหรือแสงสว่าง มันคงคิดถึงอิสรภาพของตนเองบ้าง ทว่าก็ไม่คิดมากจนนอนไม่หลับ

คนเราน่าจะคิดให้มาก ๆ ในตอนกลางวัน เดินคิด นั่งคิดหรือนอนคิด ทว่าก็แปลกที่กลับไปคิดอะไรตั้งเยอะแยะในตอนกลางคืนแทน และสำหรับผู้ที่คิดไม่ตก พอหัวตกถึงหมอนการต่อสู้ข้างในก็เริ่มต้นขึ้น แพ้แน่นอนหากไม่มีปัญญาหรือสมาธิมากพอ

ฝันกลางวันมีกลิ่น อย่างน้อยก็กลิ่นของความหวัง ฝันกลางคืนของใครๆ มีกลิ่นหรือเปล่าก็ไม่รู้ แค่เป็นสีหรือขาวดำ-ยังจำไม่ค่อยได้เมื่อตื่นขึ้นมา แต่ก็มหัศจรรย์ทีเดียวเกี่ยวกับความฝัน ใครนำพล็อตมาให้ ทำไมเหาะได้ ทำไมเหนือจริง ทำไมจึงมีคนนั้นคนนี้ ฯลฯ คนเราคุ้นเคยกับการนอนมาตั้งแต่เป็นชิ้นส่วนเดียวกับแม่ หากการนอนยังลึกลับอยู่ดี 4-6-8 ชั่วโมง ตอนหลับนั้นเวลาหายไปไหนหมด ผิดกับเวลาตื่นซึ่งบางนาทีที่ตั้งใจคอยหรือไม่อยากให้มาถึงก็ยังรู้สึกว่านานเหลือเกิน

(บางตอนจากหนังสือ ชีวิตคือ 2+2=3 ญามิลา เขียน)

วันอังคาร, ตุลาคม 30, 2550

สถานที่ติดต่อญามิลา

สื่อสารกับญามิลา,วนาโศก,ปลาอ้วน,วิรัตน์ โตอารีย์มิตร ได้ที่นี่...
www.
jamila1963.blogspot.com
e-mail :
jamila1963@gmail.com
e-mail : wirat_toareemitr@yahoo.com ตู้ ป.ณ.28 อุทัยธานี 61000

วันจันทร์, ตุลาคม 29, 2550

หนังสือของญามิลา,วนาโศก,ปลาอ้วน,วิรัตน์ โตอารีย์มิตร

รายชื่อหนังสือของ ญามิลา ,วนาโศก,ปลาอ้วน,วิรัตน์ โตอารีย์มิตร
จัดจำหน่ายโดยบริษัท เคล็ดไทย จำกัด โทรศัพท์ 02-225-9536-40
1.คนเล็กๆ ที่หายตัวได้
2.คล้องแขนเดิน
3.ปลา(อ้วน)ว่ายกวนน้ำ
4.การเดินทางอยู่กับที่
5.วัน-เดือน-ปี
6.ตัวโน้ตแตกแถว
7.คนเป็นของฟ้าและเวลาเรามีน้อย
8.จดหมาย 36 ฉบับ 1 ล้านความรักและโลกใบนี้
9. บทเพลงของเธอ
10.บ้านหลังเดียวกัน

สำหรับท่านผู้อ่านที่สนใจหนังสือเล่มอื่นๆ ของญามิลา,ปลาอ้วน,วนาโศก,วิรัตน์ โตอารีย์มิตร
โปรดติดต่อสอบถามรายละเอียดสำนักพิมพ์ดังนี้

1.ชีวิตคือ 2+2= 3 สำนักพิมพ์คนรู้ใจ
2.บอกเธอ บอกเขา รักของเราจะเก่าและแก่ไปด้วยกัน สำนักพิมพ์คนรู้ใจ
3.รักเล่มเล็ก สำนักพิมพ์เนรมิตร
4.ทุ่งฝันและพันธะ สำนักพิมพ์เพนพ็อกเกต
5.ครึ่งจริง ครึ่งฝันและพระจันทร์ของคนหนุ่ม สำนักพิมพ์ไม้ไต่คิด (บริษัทงานดีในเครือมติชน จัดจำหน่าย)
6.ลมตะวันออกที่บินไปกับปีกตะวันตก สำนักพิมพ์ไม้ไต่คิด
7.ความสงสัยที่อยู่ใกล้สิ่งสมมติ สำนักพิมพ์ปราชญ์เปรียว

สำนักพิมพ์ a book มีผลงานของญามิลา และวิรัตน์ โตอารีย์มิตร 2 เล่มคือ
1. The Ballad Of The Columnist
2. Lazy Sunday

THE BALLAD OF THE COLUMNIST

หนังสือเล่มเดียวที่บอกเล่าชีวิตจริงของการทำอาชีพซึ่งคนรุ่นใหม่ใฝ่ฝัน...อาชีพ 'คอลัมนิสต์'

(วิรัตน์ โตอารีย์มิตร เขียนสำนักพิมพ์ a book พิมพ์ ปีที่พิมพ์ครั้งแรก ตุลาคม 2548)



วิรัตน์ โตอารียฺมิตร ในสายตาบรรณาธิการ



...ไม่ใช่จับปากกาเขียนบนกระดาษครั้งแรกก็ทำให้ วิรัตน์ โตอารีย์มิตร กลายเป็นคอลัมนิสต์อาชีพที่มีคนจดจำ แต่มันหมายถึงเวลาหลายปีของการฝึกปรือ,แสวงรู้ด้วยความรัก,ทำงานหนักและค้นพบแนวทางการเขียนเฉพาะตน และวันนี้ วิรัตน์ โตอารีย์มิตร คือหนึ่งในคอลัมนิสต์ที่มีผลงานต่อเดือนมากชิ้นที่สุด ด้วยฝีมือ,วินัยและมาตรฐานของผลงาน ไม่ใช่แค่จับปากกาเขียนบนกระดาษไม่กี่แผ่น...



ทิวา สาระจูฑะ บรรณาธิการ นิตยสารสีสัน



...The Ballad of The Columnist น่าจะทำให้ผู้อ่านได้รู้ว่า กว่าจะเป็นคอลัมนิสต์มันต้องมีต้นทุนอะไรบ้าง มีวิธีการทำงานอย่างไรบ้าง...



แคน สาริกา บรรณาธิการข่าว นิตยสารเนชั่นสุดสัปดาห์



...เมื่อ The Ballad of The Columnist ออกวางตลาด ดิฉันเชื่อว่า หลายผู้คนที่ตั้งเป้าหมายอยากเป็นคอลัมนิสต์ "แต่กลับไม่กระโจนเข้าหา ได้เพียงแค่นั่งดมอยู่ห่างๆ " ถ้าได้อ่านเล่มนี้เมื่อไหร่คงมีการเริ่มขยับเข้าใกล้ หรือกระโจนเข้าหาเลยทีเดียว วิรัตน์ โตอารีย์มิตร ทำให้ถนนสายนี้เปิดกว้างขึ้นเพื่อต้อนรับคอลัมนิสต์รุ่นใหม่มาเป็นแนวร่วมทหารกลางสมรภูมิด้วยกันอย่างมีศักดิ์ศรี...



พนิดา ชอบวณิชชา บรรณาธิการอำนวยการ นิตยสาร ขวัญเรือน



...ด้วยบางเหตุผล ผมชอบคิดว่า ตัวอักษรของวิรัตน์ โตอารีย์มิตร คล้ายกับธารน้ำแข็งนั่นคือ มีความบอบบางคล้ายกลีบดอกไม้อันบางเบา แต่พร้อมกันนั้นกลับแฝงอยู่ซึ่งความแข็งแกร่งและมั่นคง กระทั่งสามารถแกะสลักและก่อรูปรอยให้กับภูเขาและโตรกผาในหัวใจของผู้คนได้ตลอดมา



โตมร ศุขปรีชา บรรณาธิการบริหาร นิตยสาร GM



...การเขียนหนังสือเป็นงานที่ต้องเผชิญหน้ากับตัวเองและความเงียบ เพื่อกลั่นกรองความคิดออกมาเป็นตัวอักษร ผมคิดว่าในจำนวนอาชีพที่ต้องลงมือเขียน ทั้งนักข่าว กองบรรณาธิการ คนเขียนบท ก๊อปปี้ไรเตอร์ ฯลฯ การเป็นคอลัมนิสต์ฟรีแลนด์เป็นงานที่เผชิญหน้ากับตัวเองและความเงียบมากที่สุด และในหมู่ผู้คนที่ประกอบอาชีพนี้ในบ้านเรา วิรัตน์ โตอารีย์มิตร น่าจะเป็นชื่อที่ใคร ๆ นึกถึงเป็นคนแรก ในจำนวนหนังสือทุกเล่มของเขา ผมคิดว่าหนังสือเล่มนี้ วิรัตน์ต้องคุยกับตัวเองและความเงียบมากที่สุด



วิภว์ บูรพาเดชะ (อดีต)บรรณาธิการบริหาร นิตยสาร HAMBURGER



...เป็นไปได้ว่าอ่านหนังสือ The Ballad of The Columnist เล่มนี้จบแล้ว มันอาจจะกระตุ้นให้คุณตัดสินใจทำอย่างใดอย่างหนึ่ง ลาออกจากงานประจำแล้วไปประกอบอาชีพเป็นคอลัมนิสต์เต็มตัว หรือไม่ก็เลิกคิดฝันถึงอาชีพนี้ไปเลย



วงศ์ทนง ชัยณรงค์สิงห์ บรรณาธิการที่ปรึกษา นิตยสาร a day

เคว้งคว้าง

แรงดึงดูดไม่ได้ทำให้คนเราปราศจากอาการเคว้งคว้าง จริงอยู่ว่าเราไม่ได้เป็นเช่นนี้ทุกวัน แต่บ่อยครั้งที่เรางุนงงสับสน และเบื่อหน่ายกับชีวิต แล้วยังยึดสิ่งนั้นเอาไว้เท่าที่เอื้อมถึง เพื่อบรรเทาอาการคว้าง ขณะเดียวกันก็มีสิ่งที่หลุดลอยหายไป ซึ่งทำให้เราหมดแรง เราจึงยึดไว้สลับกับการหลุดมืออย่างยาวนาน

เราคือสิ่งมีชีวิตที่เกิดมาเพื่อทุรนทุรายดิ้นรนจากการไม่มีไปสู่การมี หวาดระแวงต่อการสูญเสียความเคยชิน โหยหาความสุขและการยอมรับ ฯลฯ มนุษย์มีวิวัฒนาการมากเกินไป เราสร้างภาระและแบกภาระมากกว่าสิ่งมีชีวิตอื่นๆ เราอยู่กับที่เหมือนต้นไม้ไม่ได้ และหากินทำนองเดียวกันกับเสือก็ไม่ได้ จึงไม่แปลกที่เราจะคว้างคว้างกันง่ายดาย...เหลือเกิน

เราอยู่คนเดียวไม่ได้ แต่การอยู่เป็นคู่หรือเป็นกลุ่ม ก็มักนำมาซึ่งความขัดแย้ง เราโหยหาความรักแต่อีกด้านของหัวใจอาจเต็มไปด้วยความเกลียด บางวันเรารู้สึกว่าชีวิตไม่มีใครเลย แต่บางวันเรารู้สึกรำคาญว่ามีใครต่อใครมากมายเกินไปแล้ว เราต้องการชีวิตที่พอดี แต่ความพอดีนั่น เกิดขึ้นยาก...มาก

เราไม่พอใจในสิ่งที่มีและเป็น เราอาจอิจฉาคนอื่นที่มีและเป็นได้มากกว่า บางครั้งความอิจฉาก็ทำให้คว้างคว้าง และน้อยใจในโชควาสนา ทำไมจึงมีและเป็นได้แค่นี้เอง จากความอิจฉา อาจเปลี่ยนเป็นความพยายามดิ้นรนไปสู่จุดที่อยากมีและอยากเป็น ซึ่งแสดงให้เห็นว่าแรงผลักมีบทบาทกับชีวิตเรามากกว่าแรงต้าน เราคือสิ่งมีชีวิตที่ยืนและเดินบนดิน แต่แผ่นดินไม่สามารถทำให้เรารอดพ้นจากอาการเคว้งคว้าง ดวงตา...มนุษย์มีหน้าที่มองเห็นสิ่งต่างๆ และเอาไว้หม่อมองไปอย่างไร้จุดหมาย เรารู้ว่าเราเป็นใคร แต่บางครั้งเราสงสัยว่ากำลังทำสิ่งนี้เพื่ออะไรกันแน่ ยังไม่ทันสิ้นสงสัย หรือได้คำตอบ เราก็ทำสิ่งนั้นสิ่งนี้กันต่อไป เพราะชักช้าไม่ได้แล้ว

ความสำเร็จทำให้หายเคว้งคว้างหรือเปล่า? บางทีอาจทำให้คนที่เป็นเจ้าของเคว้างคว้างยิ่งขึ้น เนื่องจากวิตกว่าความสำเร็จจะหลุดมือไป ความล้มเหลวทำให้เคว้งคว้างมากใช่ไหม? แต่หลังจากใครสักคนล้มเหลวไปแล้ว ความล้มเหลวก็มักจะหมดพิษสง ขณะที่คามสำเร็จนั้น ยิ่งสำเร็จยิ่งเต็มไปด้วยพิษรอบตัว ชีวิตคนเราวุ่นวายกับความล้มเหลว และความสำเร็จอย่างยืดเยื้อ เราแทบไม่รู้เลยว่า วิธีมีชีวิตอยู่โดยไม่ต้องล้มเหลวหรือสำเร็จนั้นต้องทำอย่างไร

เราถูกบังคับ แต่ไม่รู้ว่าใครกันแน่ที่บงการอยู่ มันบังคับให้เราโกหก บังคับให้เรายิ้มแย้ม บังคับให้เรายอมรับ บังคับให้เรากล้า บังคับให้ตัดสินใจ ฯลฯ เราทำตามการบังคับต่างๆ นานาอย่างว่าง่าย เพราะถ้าไม่ทำเราอาจจะเคว้างคว้างยิ่งขึ้น

บางคนเคว้างคว้างตอนกำลังนอน บางคนเคว้างคว้างตอนที่เพิ่งตื่น ดิ้นรนไขว่คว้ากันจนเหนื่อยอ่อน บางวันรู้สึกมั่นคง แต่บางวันรู้สึกไม่ปลอดภัย เราอาจจะมีใครต่อใครอยู่รอบตัว แต่สุดท้ายก็เราคนเดียวทั้งนั้นที่รับรู้ความเป็นไปของชีวิตตนเอง

แรงดึงดูดของโลกไม่ได้ทำให้คนเราปราศจากความเคว้างคว้าง เรายืนและเดินบนดิน แต่บางทีก็เหมือนอากาศสีเทาๆ หม่นหมอง ไม่รู้จะลอยไปทิศทางไหน ไม่มีอะไรให้แน่ใจ

ขณะที่เราหายใจ เราก็ใจหายไปด้วย

(จากหนังสือ คนเล็กๆ ที่หายตัวได้ ญามิลา เขียน พิมพ์ปี 2548 สำนักพิมพ์เคล็ดไทย)

ปีก

ในความฝันบางคืน คนเราฝันว่าบินได้ ในความจริงบางวัน เราติดปีกให้กับชีวิตอย่างกล้าหาญ พร้อมจะฝ่าฟันและอดทน พร้อมจะเริงร่าและท้าทาย แต่หลายวันเราแทบไม่เหลือเรี่ยวแรงสำหรับการหยัดยืน เป็นเวลาที่แสงแดดสาดส่องลงมาไม่ถึง การล้มเป็นความผิดพลาดที่เกิดได้กับทุกคน แต่ถ้าไม่เรียนรู้ที่จะลุกขึ้นยืนใหม่เป็นความผิดพลาดกว่า

ปีกของชีวิตอยู่ในใจของแต่ละคน บ้างปีกเล็ก อ่อนแอและเหน็ดเหนื่อยในการประคับประคองตนเอง บางปีกใหญ่โต สง่างามในการดำรงตน ซึ่งปีกชนิดนี้มีค่า อย่างน้อยก็กับตนเองที่ปราศจากความกลัวบางชนิดไป

ศิลปินมีปีกพิเศษอยู่ในตัว เพราะงานของพวกเขาเป็นงานพิเศษ ออนอเร่ เดอทัชซัคไม่ใช่ผู้ชายที่ดีเลยเมื่อเทียบกับมาตรฐานของศีลธรรมหรือสังคม แต่เขาเป็นคนของงานอย่างแท้จริง ทำงานหนัก และใช้ชีวิตรุนแรงเร้าร้อน โก้วเล้งดื่มสุราเหมือนน้ำ มีชีวิตที่ไม่มั่นคงเมื่อใช้ความมั่นคงตามปกติวัด แต่เขามีเพื่อนฝูงมากมายและทำงานหนักเช่นกัน จนได้การตอบรับอย่างยาวนาน...เราชื่นชมผลงานของพวกเขา แต่ไม่จำเป็นต้องเลียนแบบวิถีชีวิตของคนเหล่านี้ก็ได้ หรือใครอยากจะเดินตามแนวทางดังกล่าวก็ต้องมีความอดทนสูงยิ่ง และต้องมีปีกพิเศษติดไว้กับหัวใจ

เพลง Why Walk When You Can Fly ของแมรี่ แชปิน คาร์เพนเตอร์ จากอัลบั้ม Stones In The Road ในปี 1994 มีเนื้อหาบางตอนบอกว่า Why take when you could be giving.Why watch as the world goes by.It's a hard enough life to be living.Why walk when you can fly. ...คุณจะเดินทำไมในเมื่อคุณสามารถบินได้ จะเป็นผู้รับอยู่ไย ในเมื่อคุณสามารถเป็นฝ่ายให้ได้

มีปีกแต่ไม่บินก็ไม่มีความหมาย มีชีวิตแต่ไม่ใช้ชีวิตอย่างที่ควรใช้ก็ไร้ค่า ไม่มีห้องเรียนใดสอนเรื่องชีวิตได้ดีเท่ากับห้องเรียนที่เราสร้างด้วยตนเอง ความกลัว-น่ากลัวเมื่อรู้สึกกลัวไปแล้ว และผลของมันติดค้างอยู่เนินนาน แต่เมื่อไม่กลัว- เราจะได้มากกว่าเสีย ซึ่งไม่มีใครได้เท่ากับเราเอง

(ปีก บางตอนจากหนังสือ ลมตะวันออกที่บินไปกับปีกตะวันตก ญามิลา เขียน)

ที่ไหนๆ ก็มีคนเหงา

คนเหงามีรูปร่างหน้าตาเหมือนคนธรรมดานี่แหละ ไม่ได้มี 2 ปากหรือ 4 หู ไม่ได้มี 3 ขาหรือ 3 แขน ต้นเหตุที่ทำให้คนธรรมดากลายเป็นคนเหงามีมากมาย เช่น อยู่คนเดียวแล้วเหงาๆ อยู่สองคนแต่เหงาเพราะเราไม่เข้าใจกัน อยู่หลายคนแต่รู้สึกว่าไม่มีใครอยู่ด้วยเลย ฯลฯ มนุษย์ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตชนิดเดียวที่เหงาเป็น พวกหมาก็ชอบแสดงออกเรื่องเหงา แต่ผมไม่รู้ว่าต้นไม้เหงาได้หรือเปล่า ต้นไม้ไม่ได้ไปไหนไกลเลย ยืนอยู่กับที่อย่างนั้นตั้งแต่เกิดจนตาย และผมก็ไม่รู้เลยว่าสัตว์เลื่อยคลานอย่างงูเหงาเป็นไหม ถ้าเหงาเป็น...งูมีพิษกับงูไม่มีพิษ งูแบบไหนเหงามากกว่ากัน

เราพยายามคลายเหงาด้วยวิธีการต่างๆ มาตั้งแต่อดีต ดีที่สุดก็ได้แค่คลายเหงา แต่การกำจัดความเหงาให้สิ้นซากยังเป็นไปไม่ได้ คนรวยจึงมีสิทธิ์เหงาเท่าคนจน คนดีมีโอกาสเหงาเท่าๆ กับคนชั่ว ขนาดแฝดสยามที่ตัวติดกันก็ยังเหงา

สมมติว่าเหงาจัดๆ แล้วทำให้คนตาย ก็จะมีคนตายเพราะความเหงามากกว่าตายเพราะเอดส์หรือโรคระบาดอื่นๆ แต่คนเหงาแล้วอยู่อย่างตายซาก สามารถพบเห็นได้ทั่วไป ชีวิตคนเราเป็นชีวิตแบบเอกเทศ ต่อให้มีพี่น้องท้องเดียวกัน 100 คน ความเป็นเอกเทศก็ไม่หายไปไหน ไอ้เอกเทศนี่แหละที่มีส่วนทำให้คนเราเหงา เพราะเราต่างคือ 1 หน่วย พอมีแค่หนึ่งก็เท่ากับ "ตามลำพัง" และเราคงความเป็นตามลำพังเอาไว้เหนียวแน่นมาก เนื่องจากลึกๆ แล้วเราท่านรู้สึกถึงความเป็นหนึ่งเดียวดังกล่าว หากรู้สึกมากกว่าหนึ่ง ความเหงาก็จะเป็นเรื่องขนมๆ

การที่คนเราพยายามสืบค้นและตามหาว่ามีมนุษย์ต่างดาวอยู่หรือเปล่า ผมว่ามีความเหงาเป็นแรงกระตุ้นสำคัญ ในกาแลคซี่เราและกาแลคซีอื่นมีดวงดาวนับไม่ถ้วน แต่เรารู้เพียงแค่โลกของเราเท่านั้นที่มีสิ่งมีชีวิต ซึ่งมันทำให้เหงาเหลือเกิน สมมติว่ามีบ้าน 100,000 หลัง ปลูกเรียงกันอยู่เป็นวงกลม แต่เท่าที่เรารู้มีเพียงแค่บ้านหลังเดียวเท่านั้นที่มีคนอยู่ เป็นใครก็ต้องเหงา อ้าว ! ไอ้บ้านหลังอื่นมีคนอยู่ไหม? ถ้ามีมาเป็นเพื่อนกันดีกว่า บางทีการค้นพบว่ามีมนุษย์ต่างดาวน่าจะทำให้ผู้คนเหงาน้อยลง และเลิกโลนลี่ พลาเน็ตอีกต่อไป ซึ่งจะส่งผลดีต่อมนุษยชาติมากทีเดียว

การที่คุณปู่โธมัส อัลวา เอดิสัน ประดิษฐ์หลอดไฟฟ้าขึ้นมาก็น่าจะมีความเหงาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ประมาณว่าใช้แสงสว่างทำลายความเหงาในช่วงกลางคืนซะเลย ความมืด ความสว่างสัมพันธ์กับความเหงานะครับ พระอาทิตย์ตอนเที่ยงวันซึ่งสว่างมากไม่ได้ทำให้คนเราเหงาเท่ากับตอนที่พระอาทิตย์ตกดิน ดวงจันทร์เต็มดวงมักทำให้เราเหงาน้อยกว่าคืนเดือนมืดที่ปราศจากแสงจันทร์ แต่สำหรับยุคนี้ที่โลกเต็มไปด้วยแสงไฟ ทำไมคนเราจึงเหงามากขึ้นก็ไม่รู้ ทฤษฎีความสว่างกับอาการเหงาจึงอาจไม่มีอยู่จริง

(บางตอนจากหนังสือ ความสงสัยที่อยู่ใกล้สิ่งสมมติ ปลาอ้วน เขียน ปราชญ์เปรียวสำนักพิมพ์ 2549)

บางด้านของความสำเร็จ

จำไม่ได้ว่าใครพูด แต่เขาพูดไว้ว่าวัยของเขานั้นไม่ใช่วัยที่จะถูกคาดหวังจากผู้อื่นอีกแล้ว เขาพูดในฐานะผู้ได้รับรางวัลโนเบล ผมรู้สึกคร่าวๆ ว่าเขาอายุเกิน 70 ปีแล้ว อันที่จริงคนที่ได้โนเบลก็อายุมากๆ กันทั้งนั้น พวกเขาไม่ได้ทำงานเพื่อโนเบล แต่เนื้องานทำให้โนเบลเป็นของพวกเขา เคิร์ท โคเบน ฆ่าตัวตายหลังจากอายุผ่านเบญจเพสมาได้ไม่นานนัก ขณะนั้นเขาคือฮีโร่คนล่าสุดของวงการดนตรีและโด่งดังไปทั่วโลก ไม่มีใครรู้ว่าถึงที่สุดแล้วเขาฆ่าตัวตายเพราะอะไรกันแน่ แต่น่าจะมาจากความสำเร็จชนิดที่ตั้งตัวไม่ทัน ความตึงเครียดที่เกิดจากความสำเร็จ และเป็นไปได้ว่าเขาประสบความสำเร็จมากเกินไปแต่รู้จักชีวิตน้อยเกินไป ผมว่าความสำเร็จมีหนาม (ที่มองไม่เห็น หากมีอยู่จริง) คอยทิ่มตำผู้ที่ครอบครองมันไว้
ที่อเมริกาเคยมีการวิจัยพบว่าผู้ที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่ช่วงต้นๆ ของชีวิตมักอายุสั้น (ก็แค่การวิจัย อย่าเพิ่งหวาดกลัวหรือต่อต้าน) นักวิจัยคนหนึ่งบอกว่าผู้ที่ประสบความสำเร็จโดยใช้เวลาอันสั้นนั้นจะพบความตึงเครียด ที่เครียดเพราะมันเหมือนว่าชีวิตมีพันธะอยู่ตลอดเวลา พอเครียดมากๆ ก็อาจนำไปสู่จุดจบของชีวิต แต่เขาผู้นี้บอกว่า ความทะเยอทะยานของคนเราไม่ใช่เรื่องที่ไม่ดีและมันไม่เคยฆ่าใคร เขาเพียงแค่อยากอธิบายสาเหตุของการมีอายุสั้นสำหรับพวกที่ประสบความสำเร็จในชีวิตอย่างรวดเร็ว ถ้าวัดกันด้วยวิธีนี้ผมอายุไม่สั้นแน่นอน และอาจจะยืนเกินเหตุด้วยซ้ำ
สตีวี่ วอนเดอร์ ประสบความสำเร็จตั้งแต่เด็ก อายุแค่ 11-12 ขวบเขาก็โด่งดังเป็นพลุแตก แต่เขาไม่ได้อายุสั้น ปัจจุบันสตีวี่อายุ 53 ปีแล้ว บางทีดวงตาที่พิการของเขาอาจช่วยเอาไว้ สตีวี่รู้สึกถึงความสำเร็จว่าเป็นเช่นไร แต่ไม่อาจเห็นว่าความสำเร็จรูปร่างหน้าตาเป็นอย่าไร ผิดกับไมเคิล แจ็คสัน ที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่เด็กเช่นกัน แจ็คโค (ชื่อที่สื่อมวลชนเรียก) เป็นคนตาดีเลยเห็นความสำเร็จชัดมาก เห็นแล้วก็ฟ้งซ่าน ประกอบกับเป็นคนช่างอ่อนไหว ยิ่งอายุมากก็เลยยิ่งเพิ้ยน เพราะแบกรับความกดดันจากความสำเร็จไว้คนเดียว พ่อแม่พี่น้องไม่ได้มาช่วยแบก
ปัจจุบันการงานของแจ็คโคไม่ได้รุ่งเรืองเหมือนเก่า เขากำลังกลายเป็นอดีตราชาเพลงป็อป จึงไม่น่าแปลกใจที่ข่าวของแจ็คโคที่ออกมามีแต่ด้านลบ ผมสนใจว่าเขาจะอายุสั้นหรือเปล่า เพราะทำศัลยกรรมมากมายขนาดนั้น คงจะมีผลกระทบอะไรบ้างแหละนะ แล้วมันมีแนวโน้มว่าแจ็คโคอาจจะคิดฆ่าตัวตาย เพราะโลกจริงๆ ไม่ได้มหัศจรรย์เหมือนโลกที่เขาสร้างขึ้นในใจ
ทำไมคนเราจึงเสาะหาความสำเร็จกันนัก มีคนบอกว่ามันคือสัญชาตญาณชนิดหนึ่งของมนุษย์ เพราะเมื่อประสบความสำเร็จกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง คนคนนั้นก็จะถูกยอมรับ พอได้รับการยอมรับแล้ว ชีวิตก็จะเปลี่ยนไปในทางบวก ในความสำเร็จนั้นอาจจะประกอบด้วยชื่อเสียง เงินทอง เกียรติยศ อำนาจ ฯลฯ ซึ่งทำให้อยู่ในสังคมได้สะดวกสบายขึ้น นอกจากนี้ความสำเร็จยังทำให้คนที่เป็นเจ้าของมันรู้สึกเหนือกว่าคนอื่น ไม่ว่าจะโดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม
แจ็ค นิโคลสัน เคยให้สัมภาษณ์ว่าอายุ 42 สำหรับเขานั้นกำลังดีทีเดียว ผ่านอะไรมาพอสมควร ประสบความสำเร็จก็พอประมาณ แต่เขากลัวตอนที่อายุจะเข้าวัย 50 กลัวความแก่ว่างั้นเถอะ เดี๋ยวนี้เขาอายุใกล้ 60 แล้ว เขาเคยคุยกับซีดนีย์ ปอยเดียร์ ดาราผิวสียอดฝีมือ ซีดนีย์บอกกับเขาว่าต้องลองอายุ 70 ปีดู แล้วจะพบความมหัศจรรย์ของชีวิตอีกแบบหนึ่ง ถ้าเคิร์ท โคเบน คิดและรู้สึกได้สักครึ่งหนึ่งของแจ็คก็คงไม่ฆ่าตัวตาย ที่สำคัญแจ็คมาประสบความสำเร็จตอนผ่านโลกมาระดับหนึ่งแล้ว
ไม่มีใครชอบความล้มเหลว แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะประสบความสำเร็จไปหมด คนล้มเหลวนั้นไม่ต้องประคับประคองความล้มเหลวของตนเอง มีแต่อยากสลัดมันทิ้งไป ส่วนคนที่ประสบความสำเร็จมีพันธะมากมาย ไอ้พันธะนี่แหละที่หนัก มันเหมือนการประคับประคองของหนักเอาไว้ ผมโชคดีอีกตามเคยที่ไม่รู้ว่าหนักนั้นเป็นอย่างไร
ตอนนี้ก็แค่ล้มแล้วอย่าให้คนมาข้าม เหลวแล้วก็อย่าให้มันไหลไปไกลนัก

(บางด้านของความสำเร็จ หนังสือ คนเป็นของฟ้าและเวลาเรามีน้อย ปลาอ้วน เขียน สำนักพิมพ์เคล็ดไทย พิมพ์ปี 2547 )

เราต่างมี...เวลาที่ดี ๆ

เวลาดีๆ และเวลาร้ายๆ ของชีวิตแตกต่างกันลิบลับ ลองมองตัวเองในกระจกแล้วจะเห็นความลิบลับดังกล่าว คนคนเดียวกันแต่ไม่เหมือนกัน และเวลาร้ายๆ จะยึดให้นาฬิกาเดินช้าลง 1 นาที ก็อาจกลายเป็น 1 ชั่วโมง ขณะที่เวลาดี ๆ นั้นนาฬิกาก็จะลอยนวลไปข้างหน้าชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่า
เมื่อเกิดเรื่องร้ายๆ หรือชีวิตถูกต้อนเข้ามุมอับ บางคนอาจโทษโชควาสนาหรือโยนความผิดให้ชะตากรรม เราไม่รู้ล่วงหน้าว่าเรื่องดีหรือเรื่องร้ายจะเกิดขึ้นกับเราเมื่อไร เพราะอะไรๆ เกี่ยวกับชีวิตเป็นเรื่องไม่แน่นอนเอาเสียเลย การยืนยันและการยืนหยัดพร้อมสู้กับความไม่แน่นอน เป็นสิ่งท้าทายความสามารถของคนเรา แต่ใช่ว่าสู้กันได้ง่ายๆ โดยเฉพาะสู้จนชนะ
ชีวิตมีช่วงเวลาที่ยากและง่ายผลัดเปลี่ยนกันเข้ามา ยากนักก็อย่าเพิ่งตัดพ้อ เนื่องจากวันหนึ่งมันก็จะผ่านไปได้เอง ไม่ว่าจะผ่านเพราะทำใจยอมรับหรือเพราะเรื่องยากๆ ได้รับการเยียวยาจนดีขึ้น แต่ก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่อดทนไม่เพียงพอและเลือกการฆ่าตัวตายเป็นทางออกของปัญหา ซึ่งก็คือการหนีปัญหานั่นเอง
ความเป็นไปของสังคมยุคนี้ทำให้จิตใจของคนเราเปราะบางและอ่อนแอได้ง่าย บ้างแพ้ภัยเศรษฐกิจ บ้างรู้สึกว่างเปล่ากับการเกิดมา ไหนจะคนที่สับสนอยู่ตลอด และคนที่เห็นว่าชีวิตมีแต่เรื่องยาก
ลองปักใจว่ายาก อะไรก็ยากทั้งนั้นแหละครับ ความยากหรือความง่ายเริ่มต้นและลงท้ายตรงหัวใจของเรา ไม่มีอะไรยากเกินความสามารถ ต้องพยายามเชื่อเช่นนั้นให้ได้ ผมก็จะเชื่อเหมือนกัน
ขณะที่เรื่องร้ายๆ เกิดขึ้นกับชีวิต เรามักจะจมอยู่กับเรื่องร้ายดังกล่าวและคิดถึงเรื่องดีๆ ที่เคยผ่านเข้ามาไม่ได้ ทำราวกับชีวิตนี้ไม่มีเวลาดีๆ อยู่เลย มองไปทางไหนก็ไม่เห็นแสงสว่าง แต่ชีวิตมืดมนเช่นนั้นจริงๆ ใช่ไหม หรือเราทำให้มันมืดกว่าความเป็นจริง ต้องลองถามตัวเองและหาคำตอบให้ได้
ชีวิตแต่ละวันของของคนเรายากง่ายแตกต่างกันไป แม้ในวันเดียวกัน ตอนกลางวันอาจรู้สึกทุกข์ทนเหมือนจะเป็นจะตาย แต่พอตกกลางคืน ไม่รู้ว่าความสุขมาจากไหน ชีวิตเอาแน่ไม่ได้หรอกครับ นักวางแผนชั้นเลิศก็ยังต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนของชีวิต ดีทีสุดคือยอมรับ (ความไม่แน่นอนร้ายๆ ) ให้เป็น ถ้าทำได้ก็จะมีภูมิคุ้มกัน ยิ่งทำได้บ่อยๆ ภูมิคุ้มกันก็จะสูงขึ้น
ผมเคยนั่งทบทวนถึงเวลาที่ดีและไม่ดีของชีวิตปรากฎว่าทั้งสองเวลามีปริมาณที่แตกต่างกันไม่มากนัก และทุกเรื่องที่ไม่ดีผ่านมาจนได้ ไม่ว่าจะผ่านด้วยตัวเองหรือผู้อื่นช่วยไว้ บางเรื่องในชีวิตคนเราต้องพึ่งพาอาศัยผู้อื่นนะครับ ผู้อื่นในที่นี้อาจหมายถึง พ่อแม่ พี่น้อง คนรัก เพื่อน โดยทุกความช่วยเหลือที่เกิดขึ้นสืบเนื่องจากความรัก ความเมตตา ความสงสาร ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
เรื่องไม่ดีบางเรื่องใช้เวลาเพียงแค่ 1 สัปดาห์ก็ผ่านได้ ขณะที่บางเรื่องใช้เวลาเป็นปีๆ พอผ่านได้แล้ว มันก็ไม่มีฤทธิ์เดชอีกต่อไป ส่วนเรื่องดีๆ นั้น เมื่อย้อนมานึกถึง ความรู้สึกว่าเรื่องนี้ดีเรื่องนั้นมีความสุข ก็ยังไม่หายไปไหน
(จากหนังสือ "บอกเธอบอกเขา รักของเราจะเก่าและแก่ไปด้วยกัน" ญามิลา เขียน สำนักพิมพ์คนรู้ใจ พิมพ์ ปี 2548)

วันศุกร์, ตุลาคม 26, 2550

ติดตามอ่านงานเขียนของญามิลา/วิรัตน์ โตอารีย์มิตรได้ที่นี่

นิตยสาร สีสัน/นิตยสาร ขวัญเรือน
นิตยสาร a day นิตยสาร HAMBURGER/
นิตยสาร เอนเตอร์เทน / นิตยสาร เนชั่นสุดสัปดาห์
หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับเสาร์สวัสดี